ข้อความในคัมภีร์พระเวทบอกไว้ว่า…
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีด้วยกันทั้งสิ้นแปดล้านสีแสนชนิด ซึ่งครอบคลุมทั้งส่วนที่เป็นสัตว์น้ำ พืช แมลง นก เดรัจฉาน และมนุษย์เผ่าพันธุ์ต่างๆ
และในร่างกายมนุษย์มีวิญญาณอาศัยอยู่ ซึ่งวิญญาณนี้แต่เดิมนั้นก็อยู่กับพระกฤษณะ แต่ได้แยกออกมาเกิดในร่างมนุษย์ สภาวะดั้งเดิมของวิญญาณมีลักษณะผุดผ่องสว่างไสว มนุษย์ถูกสร้างให้มีชีวิคขึ้นมาก็เพื่อให้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะกลับคืนสู่จอมเทพกฤษณะ เรียกว่า เป็นการกลับคืนสู่บ้านเก่าที่เคยอยู่อาศัยมาก่อน
แต่หากวิญญาณที่มาเกิดในร่างมนุษย์นี้มิได้ใช้โอกาสจากการที่ได้มาเกิดในร่างมนุษย์เพื่อพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติที่จะได้กลับคืนสู่จอมเทพกฤษณะแล้ว ก็อาจจะต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำอีกก็ได้ ทั้งนี้ก็เป็นไปตามกฎของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั่นเอง
ธรรมดาว่าไฟย่อมปรากฏในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เช่น ไฟที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ไฟที่แสดงให้ปรากฏเห็นภายนอก ไฟที่ส่องแสงสลัวๆ ไฟสว่าง เป็นต้น ซึ่งก็แล้วแต่ว่ามันมีอะไรเป็นเชื้อเพลิงนั่นเอง ในทำนองเดียวกันนี้ วิญญาณก็เข้าสู่ร่างแต่ละร่างซึ่งมีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไปไป แม้ว่าไฟจะปรากฏให้เห็นหรือไม่ปรากฏให้เห็นในวัตถุอย่างหนึ่ง แต่ตัวไฟแท้ๆจะยังคงอยู่ต่อไป มิได้หนีหายไปไหน
ทำนองเดียวกับวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งอมตะ จะมาปรากฏอยู่ในร่างใดร่างหนึ่ง เมื่อร่างนั้นแตกทำลายลงไปแล้ว มันก็จะละทิ้งร่างนั้นไป หาได้แตกทำลายไปตามร่างนั้นไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ไฟกับเชื้อเป็นคนละอย่างกัน เช่นเดียวกับวิญญาณกับร่างกายก็เป็นละอย่างกัน
ไฟที่เกิดจากไม่ขีดไฟเป็นเปลวไฟดวงน้อยๆ แต่ไฟที่เกิดจากการระเบิดของถังน้ำมันใบใหญ่ๆจะส่งเปลวของมันขึ้นไปแดงฉานอยู่บนท้องฟ้า แต่จะมีเปลวใหญ่หรือเล็กอย่างไร ไฟก็คือไฟอยู่ดี ซึ่งก็เป็นไปในทำนองเดียวกับวิญญาณอีกนั่นแหละ จะเป็นวิญญาณที่มาเกิดในร่างพราหมณ์ หรือว่าจะเป็นวิญญาณที่มาเกิดในร่างของมดตัวน้อยๆ ก็ล้วนมีคุณสมบัติของวิญญาณอย่างเดียวกันทั้งนั้น
แต่เนื่องจากมี”อวิชชา” คือความรู้ไม่จริงมาปิดบังเอาไว้ เราจึงตั้งชื่อคุณลักษณะทางร่างกายให้แก่วิญญาณ และจึงมีการติดป้ายชื่อแบ่งแยกว่าเป็นคนสัญชาตินั้นสัญชาตินี้ เช่น คนสัญชาติอเมริกัน คนสัญชาติรัสเซีย คนสัญชาติจีน คนแก่ คนหนุ่ม ฯลฯ การกำหนดเรียกเช่นนี้ อาจจะใช้ได้กับร่างกาย แต่จะไม่ใช้กับวิญญาณ ทั้งนี้เพราะวิญญาณได้ชื่อว่า “ปะหะระ” หรือ สิ่งที่เป็นโลกุตระ.
แหล่งข้อมูลภาพ
Hare Krishna Hare Krishna Krishna Krishna Hare Hare Hare Ramฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร
Thursday, January 28, 2010
อชามิละได้รับการช่วยเหลือให้ปลอดภัยจากยมทูต
อชามิละ อยู่ในวรรณะพราหมณ์ แต่ได้ละทิ้งวัฒนธรรมและหลักปฏิบัติของศาสนาพราหมณ์ เนื่องจากไปคบหาสมาคมกับคนชั่ว เลยทำให้กลับกลายเป็นพาล เลวระยำ ชอบลักขโมย ดื่มสุราเมรัย และประกอบกรรมทำชั่วต่างๆ แม้กระทั่งว่านำนางนครโสเภณีมาเป็นภรรยา ด้วยอกุศลกรรมเหล่านี้ จึงถูกยมทูตนำตัวไปลงนรก แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือให้ปลอดภัยได้ เพราะได้เอ่ยพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระนารายณ์ แม้จะมิได้ตั้งใจก็ตามที
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนใกล้จะสิ้นใจตายนั้น อชามิละมีจิดจดจ่ออยู่กับลูกชายของตัวเอง ซึ่งเผอิญมีชื่อว่านารายณ์เช่นเดียวกับชื่อของพระกฤษณะ ขณะจิตจดจ่ออยู่กับชื่อของลูกชายนั้นเอง ก็พลันได้แลเห็นชาย ๓ คนเป็นทูตของพญายม ร่างน่าเกลียดน่ากลัว ใบหน้าบิดเบี้ยว มีขนตั้งชันอยู่ทั่วตัว มือแต่ละคนถือเชือกจะเอามามัดตัวเขาไปยังสำนักของพญายม เขาตกใจสุดขีดจึงร้องเรียกชื่อลูกชายที่เล่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงว่า”นารายณ์ช่วยด้วย”
วิษณุทูต หรือผู้รับสนองเทวโองการของพระวิษณุ พอได้ยินเสียงเรียกพระนามเจ้านายตนออกจากปากของอชามิละ ซึ่งกำลังใกล้จะสิ้นใจนั้น ทั้งๆที่เป็นการเรียกชื่อลูกชายที่เกิดไปพ้องกับนามของพระวิษณุนั้น จึงได้พากันรีบมา ซึ่งก็เป็นช่วงพอดีกับที่ยมทูตผู้รับโองการจากพญายมกำลังจะควักวิญญาณออกจากร่างของอชามิละอยู่พอดี พวกทูตของพระวิษณุจึงได้ส่งเสียงตวาดห้ามไว้ได้ทัน
ดูเถิด เพียงแค่อชามิละเจ็บหนักใกล้จะตายแล้วเผลอเรียกชื่อลูกชายซึ่งพ้องกับชื่อของพระกฤษณะ วิญญาณของอชามิละก็ยังได้กลับไปหาพระกฤษณะได้
แล้วอย่างนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนที่พร่ำภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระกฤษณะด้วยจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง เมื่อตายวิญญาณจะไม่กลับไปหาจอมเทพกฤษณะ
ในเวลาที่คนใกล้จะตายนั้น จิตใจก็จะสับสนวุ่นวาย เพราะระบบการทำงานของร่างกายเกิดผิดปกติขึ้นมา ซึ่งในช่วงนั้นแม้แต่คนที่เคยสวดพระนามของพระกฤษณะมาตลอดชีวิต ก็ยังอาจจะไม่มีสติสัมปชัญญะสามารถสวดมนต์ “หะเร กฤษณะ” ได้อย่างเต็มที่ แต่กระนั้นก็ตามเขาก็ยังได้รับอานิสงส์จากการสวดพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อยู่ดี
ทางที่ดีที่สุดก็คือ ขณะที่เราทั้งหลายยังสุขสบายร่างกายยังปกติดีอยู่นี้ เราก็ควรจะสวดพระนามของพระกฤษณะให้ดังๆและให้ชัดถ้อยชัดความ หากทำได้เช่นนี้เป็นประจำ เมื่อเวลาใกล้ตายเราก็จะสามารถสวดพระนามอันศักดิ์สิทธ์ของพระองค์ได้ด้วยความรักและศรัทธาอย่างเต็มที่ ซึ่งก็จะส่งผลให้วิญญาณของเราได้ออกจากร่างเดินทางกลับไปหาจอมเทพกฤษณะได้อย่างแม่นมั่น.
แหล่งข้อมูลภาพ
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนใกล้จะสิ้นใจตายนั้น อชามิละมีจิดจดจ่ออยู่กับลูกชายของตัวเอง ซึ่งเผอิญมีชื่อว่านารายณ์เช่นเดียวกับชื่อของพระกฤษณะ ขณะจิตจดจ่ออยู่กับชื่อของลูกชายนั้นเอง ก็พลันได้แลเห็นชาย ๓ คนเป็นทูตของพญายม ร่างน่าเกลียดน่ากลัว ใบหน้าบิดเบี้ยว มีขนตั้งชันอยู่ทั่วตัว มือแต่ละคนถือเชือกจะเอามามัดตัวเขาไปยังสำนักของพญายม เขาตกใจสุดขีดจึงร้องเรียกชื่อลูกชายที่เล่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงว่า”นารายณ์ช่วยด้วย”
วิษณุทูต หรือผู้รับสนองเทวโองการของพระวิษณุ พอได้ยินเสียงเรียกพระนามเจ้านายตนออกจากปากของอชามิละ ซึ่งกำลังใกล้จะสิ้นใจนั้น ทั้งๆที่เป็นการเรียกชื่อลูกชายที่เกิดไปพ้องกับนามของพระวิษณุนั้น จึงได้พากันรีบมา ซึ่งก็เป็นช่วงพอดีกับที่ยมทูตผู้รับโองการจากพญายมกำลังจะควักวิญญาณออกจากร่างของอชามิละอยู่พอดี พวกทูตของพระวิษณุจึงได้ส่งเสียงตวาดห้ามไว้ได้ทัน
ดูเถิด เพียงแค่อชามิละเจ็บหนักใกล้จะตายแล้วเผลอเรียกชื่อลูกชายซึ่งพ้องกับชื่อของพระกฤษณะ วิญญาณของอชามิละก็ยังได้กลับไปหาพระกฤษณะได้
แล้วอย่างนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนที่พร่ำภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระกฤษณะด้วยจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง เมื่อตายวิญญาณจะไม่กลับไปหาจอมเทพกฤษณะ
ในเวลาที่คนใกล้จะตายนั้น จิตใจก็จะสับสนวุ่นวาย เพราะระบบการทำงานของร่างกายเกิดผิดปกติขึ้นมา ซึ่งในช่วงนั้นแม้แต่คนที่เคยสวดพระนามของพระกฤษณะมาตลอดชีวิต ก็ยังอาจจะไม่มีสติสัมปชัญญะสามารถสวดมนต์ “หะเร กฤษณะ” ได้อย่างเต็มที่ แต่กระนั้นก็ตามเขาก็ยังได้รับอานิสงส์จากการสวดพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อยู่ดี
ทางที่ดีที่สุดก็คือ ขณะที่เราทั้งหลายยังสุขสบายร่างกายยังปกติดีอยู่นี้ เราก็ควรจะสวดพระนามของพระกฤษณะให้ดังๆและให้ชัดถ้อยชัดความ หากทำได้เช่นนี้เป็นประจำ เมื่อเวลาใกล้ตายเราก็จะสามารถสวดพระนามอันศักดิ์สิทธ์ของพระองค์ได้ด้วยความรักและศรัทธาอย่างเต็มที่ ซึ่งก็จะส่งผลให้วิญญาณของเราได้ออกจากร่างเดินทางกลับไปหาจอมเทพกฤษณะได้อย่างแม่นมั่น.
แหล่งข้อมูลภาพ
Wednesday, January 20, 2010
พระกฤษณะช่วยผู้สวามิภักดิ์จากทะเลแห่งการเกิดและการตาย
พระกฤษณะตรัสว่า
“ดูก่อนโอรสปฤถา ชนเหล่าใดบูชาเรา ละทิ้งกิจการทั้งปวงเพื่อเรา สวามิภักดิ์ต่อเราอย่างแน่วแน่มิแปรผัน กระทำการเซ่นสรวงบูชาเรา ตั้งสมาธิจิตจดจ่อต่อเรา เราก็จะรีบมาช่วยชนเหล่านั้นให้รอดพ้นจากทะเลแห่งการเกิดและการตาย(สังสารวัฏ)”
ผู้สวามิภักดิ์ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติโยคะ ๘ อย่างเพื่อนำวิญญาณของตนเข้าสู่โลกทิพย์แต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะพระกฤษณะเป็นผู้รับผิดชอบช่วยเหลือนำวิญญาณผู้นั้นเข้าสู่โลกทิพย์แทนอยู่แล้ว
จากข้อความข้างต้น พระกฤษณะบอกไว้เป็นที่แน่ชัดว่า พระองค์ท่านจะเป็นผู้มาช่วยปลดปล่อยวิญญาณ เด็กที่มีบิดามารดาคอยให้ความดูแล เขาก็จะมีความมั่นคงปลอดภัย ข้อนี้ฉันใด ผู้สวามิภักดิ์ต่อพระกฤษณะก็ฉันนั้น เขาไม่จำเป็นต้องถ่ายถอนวิญญาณของตนเองไปสู่โลกทิพย์ด้วยวิธีปฏิบัติโยคะ เพราะพระกฤษณะผู้ทรงความเมตตาปรานี จะประทับนั่งบนหลังพญาครุฑ มาช่วยเหลือผู้สวามิภักดิ์ออกจากโลกมนุษย์ไปสู่โลกทิพย์โดยฉับพลันทันใด
คนที่ตกลงไปในทะเลนั้น ถึงแม้ว่าจะพยายามอย่างไร และถึงจะว่ายน้ำเก่งขนาดไหน ก็ไม่มีทางจะช่วยชีวิตของตนเองได้ แต่ถ้ามีคนมาช่วยดึงขึ้นมาจากน้ำทะเลเสียเลย ชีวิตของเขาก็จะปลอดภัย ข้อนี้ฉันใด พระกฤษณะก็จะมารับผู้สวามิภักดิ์ออกจากโลกมนุษย์ไปสู่โลกทิพย์ ฉันนั้น
ด้วยเหตุฉะนี้ บุคคลจึงต้องปฏิบัติตามกระบวนการกฤษณะสำนึก และเซ่นสรวงบูชาพระกฤษณะอย่างเต็มที่ ผู้มีปัญญาจะใช้วิธีเซ่นสรวงบูชานี้ยิ่งกว่าวิธีการอย่างอื่น
สูทั้งหลายเอย เจ้าจงละทิ้งกระบวนการทำจิตวิญญาณให้หลุดพ้นทั้งปวงนั้นเถิด จงหันมาใช้วิธีเซ่นสรวงบูชาและสร้างกฤษณะสำนึกให้เกิดขึ้นในใจ ซึ่งด้วยวิธีหลังนี้เท่านั้น จึงจะช่วยให้สูทั้งหลายบรรลุถึงความสมบูรณ์พูนสุขแห่งชีวิตได้
สูเจ้าอย่าได้มัวแต่จะกังวลถึงอกุศลกรรมแต่ปางก่อนเลย เพราะพระกฤษณะจะมาช่วยรับผิดชอบไถ่ถอนบาปเหล่านั้นแทนสูทั้งหลาย สูเจ้าอย่ามัวแต่ปลดปล่อยวิญญาณตนเองด้วยการทำจิตให้หลุดพ้นอยู่เลย เพราะถึงทำไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร สูเจ้าจงยึดมั่นพระกฤษณะจอมเทพนี้เป็นที่พึ่งเถิด ด้วยวิธีนี้เท่านั้น สูเจ้าจึงจะเข้าถึงภาวะสมบูรณ์ที่สุดแห่งชีวิตได้.
Wednesday, January 13, 2010
นกงูตักษกะกัดพระเจ้าปรีกษิต
พระเจ้าปรีกษิต ทรงถือพระแสงศรออกล่าเนื้อในป่า ทรงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงเสด็จเที่ยวหาสระน้ำ ไปถึงอาศรมของฤษีศามิกะ ทอดพระเนตรเห็นฤษีกำลังหลับตาเข้าฌานอยู่ โดยมีหนังกวางคลุมกาย ผมสยายยาวคลุมตัว จึงได้ตรัสขอน้ำดื่ม แต่กลับมิได้รับการต้อนรับจากฤษีตามประเพณีอันดีงาม คือ เชิญให้นั่ง หาน้ำให้ดื่ม โอภาปราศรัยกับแขกด้วยปิยวาจา เห็นว่าฤษีรังเกียจพระองค์เกิดความกริ้ว จึงทรงเอาพระแสงศรไปเขี่ยซากงูตายมาพาดไว้บนบ่าของฤษี จากนั้นก็เสด็จกลับพระราชวัง
เมื่อเสด็จกลับมาถึงพระราชวังหลวงแล้ว พระเจ้าปรีกษิตก็ทรงนำเรื่องนี้มาครุ่นคิด ว่าฤษีเข้าฌานจริงหรือว่าเสแสร้งทำเพื่อจะได้ไม่ต้องต้อนรับขับสู้คนวรรณะกษัตริย์ซึ่งเป็นวรรณะที่ต่ำกว่าตนกันแน่
ฝ่ายฤษีศามิกะมีบุตรชายชื่อ ศฤงคี เป็นผู้มีฤทธานุภาพมาก ด้วยว่าเป็นคนเกิดในวรรณะพราหมณ์ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าปรีกษิตลบหลู่ดูหมิ่นบิดา ก็ได้สาปพระเจ้าปรีกษิตว่า “ในวันที่ ๗ นับจากวันนี้ไป นกงูจะไปกัดพระเจ้าปรีกษิต คนชั่วชาดมารยาท ทำการหลบหลู่บิดาผู้บังเกิดเกล้าของเรา”
อีก ๗ วันต่อมา เมื่อนกงูตักษกะจะไปกัดพระเจ้าปรีกษิต ได้พบกัศยปะมุนีระหว่างทาง มันจึงเอาของมีค่าต่างๆมอบให้แก่มุนี โดยหวังที่จะติดสินบนยับยั้งมิให้มุนีซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษายาพิษเข้ามาขัดขวางช่วยเหลือ จากนั้นมันก็เนรมิตร่างเป็นพราหมณ์ไปกัดพระเจ้าปรีกษิต
เมื่อถูกงูตักษกะกัด ร่างของจอมราชาผู้ยิ่งใหญ่ก็พลันลุกไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีด้วยไฟพิษ เหตุการณ์ครั้งนี้ตกอยู่ในเป้าสายตาของทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเสียงอื้ออึงตื่นตระหนกตกใจดังระงมทั่วทั้งสิบทิศ ทั้งในโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ ทั้งทวยเทพ อสูร มนุษย์ และสัตว์ทั้งปวง ก็ตกตะลึงไปกับเหตุการณ์ครั้งนี้
ฝ่ายพระเจ้าชนเมชยะ เมื่อรู้ว่าบิดาของตนถูกงูตักษกะกัดตายเสียแล้ว ก็ทรงกริ้วรับสั่งให้พวกพราหมณ์ประกอบพิธีบูชายัญ โดยนำงูจากทั่วโลกมาเผาไฟ เป็นการเซ่นสรวงสังเวย.
แหล่งข้อมูลภาพ
Tuesday, January 12, 2010
พระเจ้าปรีกษิตมอบตัวเป็นศิษย์ของศุขเทพโคสวามี
หลังจากที่ต้องคำสาปว่า จะต้องตายภายใน ๗ วันแล้ว พระเจ้าปรีกษิตก็ได้สละพระราชฐานและสิริราชสมบัติทั้งปวง เสด็จไปที่ฝั่งแม่คงคา พร้อมกับข้าราชบริพารเพื่อเตรียมตัวตายตามคำสาป
ครั้นถึงฝั่งคงคาแล้วพระองค์ก็ได้ละทิ้งข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ แล้วทรงยอมมอบกายถวายชีวิตเป็นศิษย์ของศุขเทพโคสวามี บุตรของท่านวยาสเทพ
และจากการที่ได้มาเป็นศิษย์ของท่านศุขเทพโคสวามีครั้งนี้เอง ทำให้พระองค์ได้ทรงเข้าใจสถานะอันแท้จริงขององค์อวตารกฤษณะ…
องค์อวตารกฤษณะ มีพระนามว่า อชิตะ ซึ่งแปลว่า ไม่เคยแพ้ หมายถึงว่า พระองค์ไม่เคยพ่ายแพ้ใคร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพระองค์ก็ไม่เคยแพ้ใครเลยสักครั้งสมกับนามที่ได้รับ และพระองค์มีสถานที่ประทับอยู่ ณ โคโลกะ วฤนทาวัน
คนที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับองค์อวตารกฤษณะเหล่านี้ได้ ก็ต่อเมื่อได้ยอมมอบตัวเป็นศิษย์ของคนที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นครู(คุรุ)อย่างท่านศุขเทพโคสวามี เหมือนอย่างที่พระเจ้าปรีกษิตทำในครั้งนี้
เมื่อได้รู้ฐานะอันเป็นทิพย์ของพระกฤษณะ และรู้ถึงวิธีการที่จะทำให้สามารถจะเข้าถึงสถานที่ประทับของพระกฤษณะ ตลอดจนคุณสมบัติพิเศษอย่างอื่นด้วยเช่นนี้แล้ว พระเจ้าปรีกษิตก็ทรงมีความมั่นใจในชะตากรรมของพระองค์เป็นอย่างดี จึงทรงพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างแม้แต่ร่างกายของพระองค์ โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรหลงเหลืออยู่
แต่การที่พระเจ้าปรีกษิตได้มีโอกาสมาเป็นศิษย์ของศุขเทพโคสวามี จนสามารถได้รู้สถานะอันแท้จริงของพระกฤษณะผู้ได้นามว่า อชิตะ นี้ก็ด้วยเดชานุภาพขององค์พระกฤษณะ.
แหล่งข้อมูลภาพ
ครั้นถึงฝั่งคงคาแล้วพระองค์ก็ได้ละทิ้งข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ แล้วทรงยอมมอบกายถวายชีวิตเป็นศิษย์ของศุขเทพโคสวามี บุตรของท่านวยาสเทพ
และจากการที่ได้มาเป็นศิษย์ของท่านศุขเทพโคสวามีครั้งนี้เอง ทำให้พระองค์ได้ทรงเข้าใจสถานะอันแท้จริงขององค์อวตารกฤษณะ…
องค์อวตารกฤษณะ มีพระนามว่า อชิตะ ซึ่งแปลว่า ไม่เคยแพ้ หมายถึงว่า พระองค์ไม่เคยพ่ายแพ้ใคร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพระองค์ก็ไม่เคยแพ้ใครเลยสักครั้งสมกับนามที่ได้รับ และพระองค์มีสถานที่ประทับอยู่ ณ โคโลกะ วฤนทาวัน
คนที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับองค์อวตารกฤษณะเหล่านี้ได้ ก็ต่อเมื่อได้ยอมมอบตัวเป็นศิษย์ของคนที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นครู(คุรุ)อย่างท่านศุขเทพโคสวามี เหมือนอย่างที่พระเจ้าปรีกษิตทำในครั้งนี้
เมื่อได้รู้ฐานะอันเป็นทิพย์ของพระกฤษณะ และรู้ถึงวิธีการที่จะทำให้สามารถจะเข้าถึงสถานที่ประทับของพระกฤษณะ ตลอดจนคุณสมบัติพิเศษอย่างอื่นด้วยเช่นนี้แล้ว พระเจ้าปรีกษิตก็ทรงมีความมั่นใจในชะตากรรมของพระองค์เป็นอย่างดี จึงทรงพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างแม้แต่ร่างกายของพระองค์ โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรหลงเหลืออยู่
ใน คัมภีร์ภควัทคีตา มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ปรัม ทฤษวา นิวารตเต” แปลว่า บุคคลสามารถสละความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุทั้งปวงได้เมื่อได้แลเห็น ปรัม(อ่านว่า ปะรัม) ซึ่งปรัมก็หมายถึงคุณสมบัติอันล้ำเลิศของสิ่งทั้งหลาย
และจากคัมภีร์ภควัทคีตา ทำให้เราได้รู้ด้วยว่า พระกฤษณะมีคุณคุณสมบัติล้ำเลิศเหนือคุณสมบัติของสิ่งทั้งปวง และพระองค์ก็ยังมีพลังพิเศษสามารถเนรมิตสิ่งทั้งหลายได้ ซึ่งเราจะเข้าใจคุณสมบัติอันล้ำเลิศและพลังเนรมิตพิเศษของพระกฤษณะนี้ได้ ก็โดยอาศัยบุคคลผู้มีคุณสมบัติของความเป็นครูอย่างท่านศุขเทพโคสวามี
ศุขเทพโคสวามีจุติในครรภ์
วยาสเทพ ได้ธิดาของ ชาพาลี มาเป็นชายา หลังจากที่ทั้งสองอยู่กินกันมาหลายปี วยาสเทพก็ได้ใส่พืชพันธุ์(เชื้ออสุจิ)ของตนลงในครรภ์นาง ทารกอยู่ในครรภ์ยาวนานมากถึง ๑๒ ปีโดยไม่ยอมคลอดออกมา ถึงแม้ว่าบิดาจะขอร้องให้คลอดออกมาอย่างไรแต่ทารกกลับตอบว่า ตนจะไม่คลอดออกมาจนกว่าบิดาจะหลุดพ้นจากอำนาจของมายาแล้วเท่านั้น
วยาสเทพหมดปัญญาที่จะอ้อนวอนลูก จึงไปที่เมืองทวารกะเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระกฤษณะให้มาช่วยเจรจา
พระกฤษณะเมื่อได้รับการร้องขอจากวยาสเทพ ก็ได้ไปที่กระท่อมของวยาสเทพ แล้วให้คำมั่นสัญญากับทารกในครรภ์ว่า จะช่วยไม่ให้พ่อของทารกตกอยู่ในอำนาจของมายา
เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาจากพระกฤษณะแล้วเช่นนี้ ทารกก็ได้คลอดออกมาจากครรภ์ ทว่าในทันทีที่คลอดออกมาทารกก็ได้หลบหนีไปเป็น ปริวราชชาจารยะ คือ ผู้ท่องเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อประกาศเดชานุภาพของพระกฤษณะ
วยาสเทพเป็นทุกข์เพราะบุตรหายไปจึงได้เที่ยวตามหา ศุขเทพโคสวามีจึงได้เนรมิตศุขเทพจำลองให้ไปอยู่กับครอบครัวในกาลต่อมาแทนตนซึ่งเป็นตัวจริง.
แหล่งข้อมูลภาพ
ฤษีมารกัณเฑยะถูกกามเทพและบริวารยั่วยวน
ฤษีมารกัณเฑยะ ผู้ทรงอานุภาพ พำนักอบู่อยู่ในอาศรมแห่งหนึ่ง ทางด้านทิศเกหนือของเทือกเขาหิมาลัย
เมื่อพระอินทร์เห็นว่าฤษีมารกัณเฑยะผู้นี้ จะเป็นผู้มีฤทธิ์เดชศักดาเพิ่มขึ้นมาจากการบำเพ็ญตบะ ก็ประสงค์จะทำลายตบะ จึงได้ส่งกามเทพพร้อมด้วยเหล่าคนธรรพ์และนางระบำร่างสะคราญ ตลอดจนเหล่านางเทพอัปสรคิมหันตฤดู นางเทพอัปสรหิมาลัยจันทวายุ นางเทพอัปสรราคา และนางอัปสรมหา มาพร้อมหน้ากัน
กามเทพผู้เป็นเจ้าแห่งเหล่านางเทพอัปสรสวรรค์ เมื่อรับโองการจากพระอินทร์แล้ว ก็ได้พากันมายังอาศรมของมารกัณเฑยะฤษี โดยถือคันศรและลูกศรติดมือมาด้วย พร้อมด้วยหมู่คนธรรพ์เดินประโคมดนตรีและร้องเพลงกันมาเป็นหมู่ๆ เมื่อมาถึงแล้ว เหล่านางเทพอัปสรสวรรค์ก็ได้ร่ายรำอยู่เบื้องหน้าพระฤษี ส่วนพวกคนธรรพ์ก็ขับร้องประสานกับเสียงกลอง ฉิ่ง ฉาบและพิณ
ขณะที่นางเทพอัปสรราคา พร้อมด้วยนางเทพอัปสรเหมันตฤดูและเทพบริวารอื่นๆของพระอินทร์กำลังยั่วยวนกวนกิเลสของพระฤษีอยู่นั้น ฝ่ายกามเทพก็ดึงลูกศรปลายห้าแฉกออกมาสอดที่คันศรเตรียมด้วยที่จะยิงออกไป
นางเทพอัปสรปุญชิกัสถลี ได้โชว์การเล่นเคาะลูกคลี ยักย้ายส่ายสะโพกและปทุมถันอันอะร้าอร่ามโยกไหวไปมา จนพวงมาลัยดอกไม้ที่ประดับอยู่บนมวยผมของนางกระจุยกระจาย มีอยู่ตอนหนึ่งขณะที่นางวิ่งไล่ตามลูกคลีอยู่นั้น เข็มขัดที่คาดสาหรีอันบางแสนบางไว้นั้นก็ได้หลุดออกมา และลมก็เป็นใจช่วยกระพือพัดจนส่าหรีหลุดออกจากกาย กามเทพเห็นเช่นนั้นคิดว่าตนสามารถเอาชนะพระฤษีได้แล้ว ก็เลยปล่อยศรกามทพออกไปโดยฉับพลัน
แต่ทว่าความพยายามที่จะทำลายตบะของพระฤษีมารกัณเฑยะ ประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พระฤษีแม้ว่าจะตกอยู่ในท่ามกลางสิ่งที่มายั่วยวนกิเลสย่างไร ก็นั่งเข้าสมาธิสงบนิ่งอยู่ ไม่สนใจใยดีในสิ่งที่มายั่วยวน จนในที่สุดพระฤษีก็สามารถมีชัยชนะกามเทพและเทพบริวารได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระฤษีมีขันติธรรมเป็นเครื่องข่มใจนั่นเอง.
แหล่งข้อมูลภาพ
เมื่อพระอินทร์เห็นว่าฤษีมารกัณเฑยะผู้นี้ จะเป็นผู้มีฤทธิ์เดชศักดาเพิ่มขึ้นมาจากการบำเพ็ญตบะ ก็ประสงค์จะทำลายตบะ จึงได้ส่งกามเทพพร้อมด้วยเหล่าคนธรรพ์และนางระบำร่างสะคราญ ตลอดจนเหล่านางเทพอัปสรคิมหันตฤดู นางเทพอัปสรหิมาลัยจันทวายุ นางเทพอัปสรราคา และนางอัปสรมหา มาพร้อมหน้ากัน
กามเทพผู้เป็นเจ้าแห่งเหล่านางเทพอัปสรสวรรค์ เมื่อรับโองการจากพระอินทร์แล้ว ก็ได้พากันมายังอาศรมของมารกัณเฑยะฤษี โดยถือคันศรและลูกศรติดมือมาด้วย พร้อมด้วยหมู่คนธรรพ์เดินประโคมดนตรีและร้องเพลงกันมาเป็นหมู่ๆ เมื่อมาถึงแล้ว เหล่านางเทพอัปสรสวรรค์ก็ได้ร่ายรำอยู่เบื้องหน้าพระฤษี ส่วนพวกคนธรรพ์ก็ขับร้องประสานกับเสียงกลอง ฉิ่ง ฉาบและพิณ
ขณะที่นางเทพอัปสรราคา พร้อมด้วยนางเทพอัปสรเหมันตฤดูและเทพบริวารอื่นๆของพระอินทร์กำลังยั่วยวนกวนกิเลสของพระฤษีอยู่นั้น ฝ่ายกามเทพก็ดึงลูกศรปลายห้าแฉกออกมาสอดที่คันศรเตรียมด้วยที่จะยิงออกไป
นางเทพอัปสรปุญชิกัสถลี ได้โชว์การเล่นเคาะลูกคลี ยักย้ายส่ายสะโพกและปทุมถันอันอะร้าอร่ามโยกไหวไปมา จนพวงมาลัยดอกไม้ที่ประดับอยู่บนมวยผมของนางกระจุยกระจาย มีอยู่ตอนหนึ่งขณะที่นางวิ่งไล่ตามลูกคลีอยู่นั้น เข็มขัดที่คาดสาหรีอันบางแสนบางไว้นั้นก็ได้หลุดออกมา และลมก็เป็นใจช่วยกระพือพัดจนส่าหรีหลุดออกจากกาย กามเทพเห็นเช่นนั้นคิดว่าตนสามารถเอาชนะพระฤษีได้แล้ว ก็เลยปล่อยศรกามทพออกไปโดยฉับพลัน
แต่ทว่าความพยายามที่จะทำลายตบะของพระฤษีมารกัณเฑยะ ประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พระฤษีแม้ว่าจะตกอยู่ในท่ามกลางสิ่งที่มายั่วยวนกิเลสย่างไร ก็นั่งเข้าสมาธิสงบนิ่งอยู่ ไม่สนใจใยดีในสิ่งที่มายั่วยวน จนในที่สุดพระฤษีก็สามารถมีชัยชนะกามเทพและเทพบริวารได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระฤษีมีขันติธรรมเป็นเครื่องข่มใจนั่นเอง.
แหล่งข้อมูลภาพ
พระเจ้าจิตรเกตุพบพระสังกรษณะ
พระเจ้าจิตรเกตุ ทอดพระเนตรเห็น เทพสังกรษณะมีผิวพรรณดุจใยบัว ฉลองพระองค์ด้วยเครื่องทรงสีน้ำเงิน ประดับด้วยชฎา คาดสายสะอิ้ง สวมวลัยแขนและวลัยกร ซึ่งล้านแล้วแต่ล้ำค่า ทอแสงเป็นประกายแวววับ มีพระพักตร์แย้มยิ้ม พระเนตรเป็นสีแดง แวดล้อมด้วยท่านผู้สำเร็จทั้งหลาย มีพระสนัทกุมารเป็นต้น
ทันทีที่มหาราชจิตรเกตุทอดพระเนตรเห็นองค์เทพสังกรษณะ จิตใจของพระองค์ก็ถูกชำระจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ได้กฤษณะสำนึกกลับคืนมาดุจเดิม กลายเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด พระองค์ทรงนิ่งอื้งไปชั่วชณะ ด้วยความจงรักภักดีที่พระองค์ทรงมีต่อองค์เทพสังกรษณะ ก็ถึงกับน้ำพระเนตรไหล่หลั่งออกมา เส้นโลมาเกิดการชูชัน ด้วยความจงรักภักดี ราชาจิตรเกตุจึงทรงก้มลงถวายอภิวาทที่บาทบงกชขององค์เทพสังกรษณะ
ราชาจิตรเกตุเกลือกพระพักตร์ลงตรงที่รองบาทบงกช น้ำตาแห่งความรักและความภักดีหลั่งไหลออกมาเปียโชกไปทั่ว ทรงกันแสงร่ำไห้ด้วยแรงปีติปราโมทย์อยู่ครู่หนึ่ง ทรงมัวแต่ตะลึงงงันจนไม่ทรงอาจเปล่งบทสวดสรรเสริญคุณที่เหมาะสมใดๆต่อองค์เทพสังกรษณะ.
แหล่งข้อมูลภาพ
Subscribe to:
Posts (Atom)
Custom Search